ภาวะเลือดออกในสมองมีสาเหตุและปัจจัยการเกิดที่หลากหลาย สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้
1. วิธีที่ใช้วินิจฉัยภาวะเพื่อระบุตำแหน่งและขนาดของบริเวณที่มีเลือดออก ได้แก่
1.1 การทำ CT Scan เป็นวิธีที่นิยมใช้วินิจฉัยภาวะเลือดออกในสมองมากที่สุด ด้วยการใช้รังสีเอกซเรย์เชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อถ่ายภาพโครงสร้างต่าง ๆ ในสมอง
1.2 การทำ MRI Scan การถ่ายภาพทางคอมพิวเตอร์โดยใช้คลื่นวิทยุและแม่เหล็กขนาดใหญ่แต่การทำ MRI Scan นำมาใช้ไม่บ่อยเท่า CT Scan เนื่องจากต้องใช้เวลานานกว่า
2. การวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อระบุสาเหตุของภาวะเลือดออกในสมอง
2.1 การเอกซเรย์หลอดเลือดด้วยการฉีดสีเข้าไปให้สามารถมองเห็นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
2.2 การตรวจเลือดเพื่อดูความผิดปกติของเกล็ดเลือด การแข็งตัวของเลือด ระบบภูมิคุ้มกัน การอักเสบ และการเกิดลิ่มเลือดที่อาจเป็นปัจจัยของภาวะดังกล่าว
2.3 บางกรณีที่อาจมีการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อยืนยันว่ามีเลือดออกจริง ๆ ไม่ใช่โรคทางสมองชนิดอื่น
ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออก สาเหตุ และปริมาณของเลือดที่ออกมา ผู้ป่วยที่มีเลือดออกจุดเล็ก ๆ และไม่มีอาการใด ๆ อาจไม่จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ที่อาการของผู้ป่วยจะแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป แพทย์อาจให้ยาลดอาการสมองบวม เพื่อช่วยลดความเสียหายของสมองจากภาวะเลือดออก และคอยเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น คอยตรวจความดันในกะโหลกศีรษะ รวมทั้งทำ CT Scan สมองซ้ำ ส่วนผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมองเนื่องจากรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาวาร์ฟาริน อาจต้องรับการรักษาเพื่อทำให้ผลจากยาหายไป ไม่ให้เสี่ยงต่อการมีเลือดออกมากขึ้น ด้วยการใช้วิตามินเค หรือให้พลาสมาสดแช่แข็ง เป็นต้น
การผ่าตัด ขึ้นอยู่กับภาวะเลือดออกในสมองนั้น ๆ
1.1 การผ่าตัดระบายของเหลวในกรณีที่มีเลือดออกเฉพาะแห่งและมีลิ่มเลือดไม่มากเกินไปอาจใช้การเจาะรูผ่านกะโหลกศีรษะและใช้ท่อดูดระบายเลือดออกมา
1.2 การเปิดกะโหลกศีรษะ การผ่าตัดชนิดนี้มักใช้รักษาผู้ป่วยที่มีก้อนเลือดขนาดใหญ่ และมีอาการรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องนำก้อนเลือดขนาดใหญ่นี้ออกมาด้วยการเปิดกะโหลกศีรษะของผู้ป่วย
ทั้งนี้ ในระหว่างการผ่าตัด แพทย์อาจให้ยารักษาควบคู่ไปด้วย เช่น ยาขับปัสสาวะช่วยลดอาการบวมรอบ ๆ บริเวณที่มีเลือดออก ยาลดความดันโลหิต ยารักษาอาการวิตกกังวลเพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตให้เป็นปกติ ยากันชัก รวมถึงยาบรรเทาอาการปวดด้วย
หลังจากการผ่าตัดเรียบร้อย ผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาต้านชักไปจนถึง 1 ปี เพื่อป้องกันอาการชักที่อาจเกิดขึ้นหลังเนื้อเยื่อสมองได้รับบาดเจ็บ หรืออาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยาชนิดนี้ในระยะยาว นอกจากอาการชักก็ยังมีภาวะอื่นที่สามารถเกิดขึ้นในช่วงระยะหนึ่งภายหลังจากการผ่าตัด ได้แก่ การสูญเสียความทรงจำ วิตกกังวล สมาธิสั้น ความสามารถในการเรียนรู้ลดลง ปวดศีรษะ ปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ ปัญหาการทรงตัว และอัมพาต
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวหลังการผ่าตัดมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เวลานานหรือฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่มีเลือดออก ความเสียหายที่เกิดขึ้น อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยอาจใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือนถึงหลายปี ยังมีผู้ป่วยบางรายที่ผ่าตัดแล้วมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทซึ่งอาจจำเป็นต้องมีพยาบาลดูแลที่บ้านและทำกายภาพบำบัด
ภาวะแทรกซ้อนของเลือดออกในสมอง ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกในสมองและได้รับการรักษาบางรายสามารถฟื้นตัวและหายดีได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีรายที่เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น อัมพาต ไม่สามารถหายใจได้เอง สูญเสียการทำงานของสมอง เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง หรือได้รับผลข้างเคียงจากยาหรือกระบวนการรักษา และในกรณีที่มีเลือดออกในสมองมากยังมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็วแม้จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็ตาม
ภาวะเลือดออกในสมองส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่แต่ละคนสามารถป้องกันได้ เพียงลดพฤติกรรมเสี่ยงในข้อต่าง ๆ ต่อไปนี้
โทร. 044-015-999 หรือ โทร. 1719